การบริจาคเลือดเป็นหนึ่งในวิธีการช่วยชีวิตที่เรียบง่ายแต่มีคุณค่า อย่างมากสำหรับผู้ป่วยคนหนึ่งที่ต้องการเลือด เพราะเลือดที่เรามอบให้สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายและชีวิตของผู้ป่วยที่ต้องการได้ในช่วงวิกฤต สำหรับผู้ที่กำลังคิดจะบริจาคเลือดเป็นครั้งแรก อาจมีความรู้สึกตื่นเต้นและกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเตรียมตัว ทั้งเรื่องความพร้อมของร่างกาย ความปลอดภัยในขั้นตอนการบริจาค และวิธีการปฏิบัติตนให้ดีที่สุดทั้งก่อนและหลังบริจาค
เราจึงได้รวบรวมข้อมูล เพื่อช่วยให้ผู้บริจาคมือใหม่ได้เตรียมตัวอย่างมั่นใจ รู้ว่าควรทำอะไรบ้าง เพื่อให้การบริจาคเลือดครั้งแรกของคุณเป็นประสบการณ์ที่ดี และปลอดภัย แล้วมาร่วมส่งต่อความหวังและช่วยเหลือชีวิตของผู้อื่นผ่านการบริจาคเลือดไปด้วยกัน
คุณสมบัติของผู้บริจาคเลือด มีอะไรบ้าง
ก่อนที่เราจะบริจากเลือดได้ บางโครงการมีข้อกำหนดคุณสมบัติต่างๆของผู้เข้าบริจากซึ่งส่วนใหญ่มีดังนี้
- สามารถบริจาคได้ทั้ง เพศ ชาย / หญิง
- มีอายุระหว่าง 17-60 ปี (โดยผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง)
- สำหรับผู้บริจาคครั้งแรก ไม่ควรมีอายุมากกว่า 55 ปี
- สำหรับผู้บริจาคที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ควรผ่านการประเมินจากแพทย์ก่อน
- น้ำหนักไม่น้อยกว่า 45 กิโลกรัม
- สำหรับผู้หญิง ไม่ควรมีประจำเดือนในช่วงเวลาที่จะบริจาคเลือด และหากมีการตั้งครรภ์ไม่ควรบริจาคเลือด และหากมีการคลอดลูกหรือทำแท้งต้องมีระยะเวลาผ่านมา 6 เดือนจึงจะบริจาคได้
- ไม่ติดยาเสพติด
- มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคติดต่อ ไม่มีอาการของโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูงหรือเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
- ไม่ควรเป็นโรคทางเพศสัมพันธ์
เตรียมเอกสารและข้อมูลส่วนตัว ในการบริจาคเลือด
- เตรียมบัตรประชาชนหรือบัตรที่ใช้ยืนยันตัวตน
- เตรียมข้อมูลสุขภาพส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง เช่น ประวัติการผ่าตัด ประวัติการแพ้ยา หรือการฉีดวัคซีนล่าสุด เพื่อให้การประเมินสุขภาพเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
วิธีเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือด มีอะไรบ้าง
เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่พร้อม ผู้บริจาคควรดูแลสุขภาพร่างกายล่วงหน้าประมาณ 1-2 วันก่อนบริจาคเลือด โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำก่อนบริจาคเลือด 30 นาที ประมาณ 3-4 แก้ว เพื่อช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนบริจาค เพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการเวียนศีรษะหลังบริจาค
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไร้ไขมัน และธัญพืช เพื่อเพิ่มปริมาณธาตุเหล็กและพลังงานให้ร่างกาย
หลีกเลี่ยงสารที่อาจมีผลต่อคุณภาพเลือด
ในวันก่อนบริจาคเลือด ผู้บริจาคควรหลีกเลี่ยงการบริโภคสารบางประเภทที่จะส่งผลต่อคุณภาพของเลือด เช่น:
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง: ไขมันจากอาหารที่บริโภคในวันที่จะบริจาคอาจส่งผลต่อการตรวจสอบเลือด
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจส่งผลให้เกิดภาวะขาดน้ำในร่างกาย ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- งดการสูบบุหรี่ก่อนการบริจาค: เพื่อป้องกันอาการเวียนศีรษะ ควรงดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคเลือดอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
ขั้นตอนการบริจาคเลือด ดำเนินการอย่างไร
การบริจาคเลือดจะมีขั้นตอนที่ชัดเจน เพื่อให้กระบวนการนี้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ขั้นตอนทั่วไปมีดังนี้:
- ลงทะเบียน: ผู้บริจาคต้องกรอกแบบฟอร์มข้อมูลสุขภาพเบื้องต้น และยื่นบัตรประจำตัวประชาชน
- ตรวจสุขภาพเบื้องต้น: เจ้าหน้าที่จะตรวจวัดความดันโลหิต น้ำหนักและส่วนสูง รวมถึงการตรวจหาค่าความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน
- บริจาคเลือด: หลังจากผ่านการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ผู้บริจาคจะได้รับการเจาะเลือด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีในการเก็บเลือดประมาณ 450 มิลลิลิตร
วิธีการดูแลหลังการบริจาคเลือด
เมื่อเสร็จสิ้นการบริจาคเลือด ผู้บริจาคควรดูแลร่างกายต่อไปนี้:
- พักผ่อนและรับประทานของว่าง: หลังบริจาคเลือด ควรพักผ่อนและดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มหวานเพื่อฟื้นฟูพลังงาน
- หลีกเลี่ยงการออกแรงหนัก: ในวันเดียวกัน ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ใช้แรงมาก
- ติดตามอาการ: หากมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด หรืออ่อนเพลีย ควรนั่งพักและดื่มน้ำให้เพียงพอ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรติดต่อแพทย์
ข้อควรระวังและผลกระทบต่อสุขภาพ
การบริจาคเลือดไม่ควรทำบ่อยเกินไป ควรทิ้งระยะเวลาประมาณ 12 สัปดาห์ หรือ 3 เดือนสำหรับการบริจาคแต่ละครั้ง เพราะร่างกายต้องการเวลาฟื้นฟูระดับฮีโมโกลบินให้เป็นปกติ การบริจาคเลือดบ่อยเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะซีดหรือขาดธาตุเหล็กได้ ดังนั้น ควรระมัดระวังในการบริจาคและดูแลสุขภาพโดยรวม
เคล็ดลับการดูแลตัวเองเพื่อให้สามารถบริจาคเลือดได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอ สามารถดูแลสุขภาพตนเองเพื่อให้พร้อมสำหรับการบริจาคทุกครั้ง โดยทำตามคำแนะนำดังนี้:
- ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง: เช่น เนื้อแดง ผักใบเขียวเข้ม ไข่แดง และถั่ว จะช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูเซลล์เม็ดเลือด
- หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่ลดการดูดซึมธาตุเหล็ก: เช่น ชาและกาแฟ ควรหลีกเลี่ยงหลังมื้ออาหารเพื่อให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ทานวิตามินซี: วิตามินซีช่วยเสริมการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกายได้ดี ผู้บริจาคอาจเลือกทานผักหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม มะนาว และฝรั่งควบคู่ไปกับการทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก
รู้หรือไม่ นอกจากการบริจากเลือดแล้วยังมี ” บริจาคเกล็ดเลือดและพลาสมา “
นอกจากการบริจาคเลือดแบบทั่วไปที่เราเรียกกันว่า “การบริจาคเลือดครบส่วน” (Whole Blood Donation) ยังมีการบริจาคในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง เช่น การบริจาคเกล็ดเลือด (Platelet Donation) และการบริจาคพลาสมา (Plasma Donation) ซึ่งมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ดังนี้:
- บริจาคเกล็ดเลือด: เกล็ดเลือด เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการช่วยหยุดเลือดและรักษาเลือดออกที่เกิดจากบาดแผล การบริจาคเกล็ดเลือดมักใช้เวลาในการบริจาคประมาณ 1-2 ชั่วโมง และเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเกล็ดเลือดสูง เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia) หรือผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด
- บริจาคพลาสมา: พลาสมา คือ ของเหลวใสที่เป็นส่วนประกอบหลักของเลือด มีบทบาทสำคัญในการนำพาสารอาหาร ฮอร์โมน และโปรตีนต่าง ๆ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พลาสมาเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการโปรตีนหรือมีปัญหาด้านภูมิคุ้มกัน โดยการบริจาคพลาสมาจะใช้เครื่องแยกพลาสมาออกจากส่วนประกอบอื่น และใช้เวลาในการบริจาคประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมง
การบริจาคทั้งสองรูปแบบนี้สามารถทำได้บ่อยกว่าเลือดครบส่วน เช่น การบริจาคเกล็ดเลือดสามารถทำได้ทุก ๆ 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ก่อนว่าร่างกายมีความพร้อมที่จะบริจาค หรือไม่
สรุป
การเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือดไม่เพียงแต่ทำให้การบริจาคปลอดภัยและได้ผลดีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้บริจาคฟื้นตัวได้รวดเร็ว และมีสุขภาพแข็งแรงในระยะยาว การบริจาคเลือดเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมและสนับสนุน เพราะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมโดยรวม
บทความที่น่าสนใจ
- วิธีการห้ามเลือดบริเวณคอ ตามหลักการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง
- เทคนิคการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย: วิธีการและข้อควรปฏิบัติ
- ขั้นตอนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อเกิดอาการช็อก