เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน การขาดอากาศหายใจ หรืออุบัติเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยหมดสติ การช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างถูกต้องและรวดเร็วสามารถช่วยชีวิตได้ หนึ่งในมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกสำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ แนวทางจาก American Heart Association หรือ AHA ซึ่งถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในทั้งการฝึกอบรม บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉิน และประชาชนทั่วไป
American Heart Association (AHA) คืออะไร
American Heart Association (AHA) หรือ สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1924 (พ.ศ. 2467) ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีภารกิจหลักในการลดการเสียชีวิตและความทุพพลภาพจากโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคหลอดเลือดสมอง AHA ทำงานทั้งในด้านการวิจัย การรณรงค์ด้านสุขภาพ การให้ความรู้แก่สาธารณชน และการจัดทำแนวทางปฏิบัติสำหรับบุคลากรทางการแพทย์
AHA เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการช่วยชีวิต (Resuscitation) โดยเฉพาะการทำ CPR หรือ Cardiopulmonary Resuscitation และการใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator หรือ AED)
จุดเด่นของ AHA ที่ทำให้ได้รับการยอมรับ
1. อ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
แนวทางของ AHA ไม่ได้เกิดจากความเชื่อหรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียว แต่พัฒนาขึ้นจากการศึกษาวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบ มีการทบทวนวรรณกรรม (Systematic Review) และจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุด
2. ปรับปรุงแนวทางอย่างสม่ำเสมอ
AHA ปรับปรุงแนวทางการช่วยชีวิตอย่างน้อยทุก 5 ปี หรือเร็วกว่านั้น หากมีข้อมูลวิจัยใหม่ที่มีนัยสำคัญ โดยล่าสุดได้เผยแพร่แนวทางปี 2020 (2020 AHA Guidelines for CPR and ECC) ซึ่งเป็นฉบับที่มีการปรับปรุงจากแนวทางปี 2015
3. ครอบคลุมทั้งการฝึกอบรมระดับพื้นฐานและระดับวิชาชีพ
แนวทางของ AHA ถูกนำมาใช้ในการฝึกอบรมหลากหลายระดับ ตั้งแต่ระดับประชาชนทั่วไป (เช่น Heartsaver CPR AED) จนถึงระดับวิชาชีพด้านสุขภาพ เช่น Basic Life Support (BLS), Advanced Cardiovascular Life Support (ACLS) และ Pediatric Advanced Life Support (PALS)
4. ได้รับการยอมรับในระดับสากล
องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ILCOR (International Liaison Committee on Resuscitation) ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่กำหนดแนวทางปฏิบัติระดับโลกด้านการช่วยชีวิต ก็อ้างอิงงานวิจัยและแนวทางจาก AHA เป็นหนึ่งในแหล่งข้อมูลหลัก
เหตุผลที่ AHA เป็นมาตรฐานในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
1. แนวทางชัดเจนและเข้าใจง่าย
AHA ได้ออกแบบขั้นตอนการช่วยชีวิตให้ง่ายต่อการจดจำ เช่น แนวทาง “C-A-B” (Compressions – Airway – Breathing) ซึ่งเน้นให้เริ่มต้นจากการนวดหัวใจก่อน เพื่อให้ผู้ช่วยเหลือสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
2. เหมาะสำหรับการเรียนรู้ของบุคคลทั่วไป
หลักสูตรของ AHA อย่าง Heartsaver ถูกออกแบบให้สอนง่าย เน้นปฏิบัติจริง และสามารถนำไปใช้ได้ทันทีในสถานการณ์จริง ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานทางการแพทย์
3. ใช้เครื่องมือที่ทันสมัย
AHA แนะนำการใช้เครื่อง AED ควบคู่กับการทำ CPR โดยสอนให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้เครื่อง AED ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้อย่างมีนัยสำคัญ
4. มีระบบรับรองมาตรฐาน
ผู้ที่ผ่านการอบรมจาก AHA จะได้รับใบประกาศนียบัตรซึ่งมีอายุการใช้งานตามหลักสูตร (เช่น 2 ปี) ถือเป็นมาตรฐานที่องค์กรและหน่วยงานทั่วโลกยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล หน่วยกู้ภัย หรือแม้แต่หน่วยงานเอกชนที่มีความเสี่ยงสูง
บทบาทของ AHA ในการพัฒนาการปฐมพยาบาลทั่วโลก
AHA ไม่ได้ทำงานแค่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังมีเครือข่ายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย โดยมีศูนย์ฝึกอบรมที่ได้รับการรับรองจาก AHA (AHA International Training Centers หรือ ITCs) กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค
ศูนย์เหล่านี้ทำหน้าที่อบรมและออกใบรับรองแก่ผู้เข้าอบรมตามมาตรฐานของ AHA ทำให้สามารถสร้างบุคลากรที่มีทักษะด้านการช่วยชีวิตเพิ่มขึ้นในวงกว้าง งานวิจัยของ AHA ระบุว่า หากทำ CPR ทันทีโดยบุคคลทั่วไป โอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันอาจเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า
หลักการพื้นฐานของการปฐมพยาบาลตามมาตรฐาน AHA
AHA เน้นหลักการที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือผู้ป่วย โดยหลักการสำคัญมีดังนี้:
1. การประเมินสถานการณ์และความปลอดภัย (Scene Safety & Assessment)
- ตรวจสอบว่าพื้นที่ที่เกิดเหตุปลอดภัยหรือไม่ ก่อนเข้าไปให้ความช่วยเหลือ
- ประเมินอาการของผู้ป่วย โดยตรวจดูการตอบสนอง (Responsive หรือ Unresponsive)
- เรียกขอความช่วยเหลือ เช่น โทรแจ้งสายด่วนฉุกเฉิน 1669 (ในประเทศไทย) หรือ 911 (ในสหรัฐอเมริกา)
2. การปฐมพยาบาลสำหรับอาการบาดเจ็บ (First Aid for Injuries)
AHA ได้กำหนดแนวทางสำหรับการปฐมพยาบาลอาการบาดเจ็บต่าง ๆ ได้แก่:
- แผลเปิดและเลือดออก: ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซกดที่แผลเพื่อหยุดเลือด และพันแผลให้แน่นพอสมควร
- กระดูกหักและข้อเคลื่อน: ควรตรึงอวัยวะที่บาดเจ็บให้อยู่นิ่ง และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงขึ้น
- แผลไหม้: ใช้น้ำสะอาดไหลผ่านบริเวณที่ถูกไฟลวกหรือของร้อนเป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาที จากนั้นปิดด้วยผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซปลอดเชื้อ
- การบาดเจ็บที่ศีรษะหรือกระดูกสันหลัง: ห้ามขยับตัวผู้ป่วย และรอให้ทีมกู้ภัยมาดำเนินการ
3. การปฐมพยาบาลสำหรับภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพ (First Aid for Medical Emergencies)
AHA ยังมีแนวทางสำหรับช่วยเหลือผู้ที่มีภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพ เช่น:
- ภาวะหัวใจหยุดเต้นและภาวะหัวใจขาดเลือด: ผู้ปฐมพยาบาลควรเรียนรู้วิธีทำ CPR และการใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติ (AED)
- อาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis): ใช้ยาอะดรีนาลีน (Epinephrine) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหากมีอุปกรณ์พร้อมใช้งาน
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ: ให้ผู้ป่วยรับประทานของหวาน เช่น น้ำผลไม้หรือลูกอมที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็ว
- อาการชัก: ป้องกันการบาดเจ็บโดยจัดท่าผู้ป่วยให้นอนตะแคง และไม่พยายามหยุดอาการชัก
4. การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support – BLS)
สำหรับกรณีฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจหรือหัวใจ AHA กำหนดให้ผู้ให้การช่วยเหลือปฏิบัติตามหลัก C-A-B (Compressions – Airway – Breathing):
- C (Compressions) – การกดหน้าอก: ให้กดหน้าอกลึกประมาณ 5-6 เซนติเมตร ด้วยอัตรา 100-120 ครั้งต่อนาที
- A (Airway) – เปิดทางเดินหายใจ: จัดศีรษะของผู้ป่วยให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเปิดทางเดินหายใจได้สะดวก
- B (Breathing) – การช่วยหายใจ: เป่าลมหายใจเข้าปอดของผู้ป่วยหากไม่มีอุปกรณ์ช่วยหายใจ
5. การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator – AED)
- AHA แนะนำให้ใช้ AED โดยเร็วที่สุดในกรณีที่ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น
- ผู้ให้การช่วยเหลือต้องติดแผ่นนำไฟฟ้าบนหน้าอกผู้ป่วยและปฏิบัติตามคำแนะนำของเครื่อง AED
การฝึกอบรมและการรับรองจาก AHA มีอะไรบ้าง
การฝึกอบรมของ AHA มีหลักสูตรที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เช่น:
- Heartsaver First Aid: สำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการ เรียนรู้ทักษะปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- Basic Life Support (BLS): สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ เช่น แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ฉุกเฉิน
- Advanced Cardiovascular Life Support (ACLS): สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องจัดการภาวะฉุกเฉินขั้นสูง
สรุป
American Heart Association ไม่เพียงแต่เป็นองค์กรด้านสุขภาพระดับโลก แต่ยังเป็นผู้กำหนดมาตรฐานแนวทางการช่วยชีวิตที่อิงจากวิทยาศาสตร์ มีระบบฝึกอบรมที่เข้มแข็งและเหมาะสมกับผู้เรียนทุกระดับ แนวทางจาก AHA จึงถูกยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นมาตรฐานสากลของการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการเรียนรู้แนวทางเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้คุณพร้อมช่วยชีวิตผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นการลงทุนเพื่อชีวิตของคุณเองในอนาคต
เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นคนหมดสติ ช็อก หัวใจหยุดเต้น หรือแม้แต่แค่บาดแผลเล็กน้อย การมีความรู้พื้นฐานในการปฐมพยาบาลสามารถสร้างความแตกต่างระหว่าง “การรอดชีวิต” กับ “การสูญเสีย” ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หลักสูตรปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามมาตรฐาน American Heart Association (AHA) ที่ อบรมปฐมพยาบาล.com จัดสอนนี้ ไม่ใช่แค่ทฤษฎีบนกระดาน แต่คือการฝึกปฏิบัติจริง ที่จะทำให้คุณมั่นใจเมื่ออยู่ในสถานการณ์จริง สมัครได้แล้ววันนี้ (มีคอร์สภาษาไทย และอังกฤษ)
รายละเอียดหลักสูตร : อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตามกฎหมาย
ติดต่อสอบถาม : (064) 958 7451 คุณแนน / อีเมล [email protected]
แหล่งอ้างอิง
-
American Heart Association. (2020). Highlights of the 2020 American Heart Association Guidelines for CPR and ECC.
-
International Liaison Committee on Resuscitation (ILCOR). (2020). Consensus on Science with Treatment Recommendations (CoSTR).
-
Sayre, M. R., et al. (2015). Part 5: Adult Basic Life Support and Cardiopulmonary Resuscitation Quality: 2015 American Heart Association Guidelines. Circulation, 132(18_suppl_2), S414–S435.
-
Kleinman, M. E., et al. (2010). American Heart Association Guidelines for CPR and ECC. Circulation, 122(18_suppl_3), S640–S656.
-
ทบวงการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย. (2564). แนวทางปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานตามมาตรฐาน AHA. กรุงเทพฯ: สำนักการแพทย์ฉุกเฉิน.
บทความที่น่าสนใจ
- อาการแพ้อาหารเฉียบพลัน (Anaphylaxis) วิธีรับมืออย่างทันท่วงที
- เตรียมตัวก่อนบริจาคเลือด สำหรับผู้ต้องการบริจากเลือด
- วิธีการห้ามเลือดบริเวณคอ ตามหลักการปฐมพยาบาล